การเปลี่ยนแปลงของสมองเมื่อมีการใช้ยาแก้ปวดบ่อย

26 พฤศจิกายน 2024

การเปลี่ยนแปลงของสมองเมื่อมีการใช้ยาแก้ปวดบ่อย

ไมเกรนเป็นโรคปวดศีรษะเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีการใช้ยาแก้ปวดบ่อยครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่ ภาวะการใช้ยาเกิน (Medication Overuse Headache: MOH) งานวิจัยระบุว่าประมาณ 50% ของผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรัง มีการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไปจนเกิดภาวะ MOH โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้ยาบรรเทาอาการเป็นประจำ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือยาต้านไมเกรนแบบเฉพาะ (Triptans หรือ Erogotamine)

 

 

 

การวินิจฉัยภาวะ MOH อ้างอิงตามหลักเกณฑ์การวินิจฉัยของ International Classification Headache Disorder - 3 สามารถอธิบายได้ดังนี้

A. มีอาการปวดศีรษะเกิดขึ้นอย่างน้อย 15 วัน/ เดือน เป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือน ในผู้ป่วยที่มีภาวะปวดศีรษะแบบปฐมภูมิ (Pimary Headache) หรือปวดศีรษะที่ยังไม่ทราบสาเหตุ หนึ่งในนั้นคือ ไมเกรน อยู่ก่อนแล้ว

B. มีประวัติการใช้ยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะอย่างต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 3 เดือน ด้วยความถี่ของการใช้ยาดังนี้

  • ใช้ยาแก้ปวดในกลุ่ม Ergotamine / Triptan / Opioids มากกว่าหรือเท่ากับ 10 วัน/เดือน
  • ใช้ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs / พาราเซตามอล มากกว่าหรือเท่ากับ 15 วัน/เดือน

 

 

 

ซึ่งการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาดส่งผลผู้ป่วยเกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงหากไม่ได้ใช้ยาแก้ปวด และทำให้ผู้ป่วยต้องใช้ยาแก้ปวดในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อระงับอาการปวด และในบางครั้งแม้ว่าผู้ป่วยจะใช้ยามากขึ้นก็ไม่สามารถระงับอาการปวดดังกล่าวได้ ภาวะนี้ไม่เพียงส่งผลต่อการจัดการโรคไมเกรน แต่ยังทำให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนและมีผลกระทบในระยะยาว

 

 

 

สำหรับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในสมองของผู้ป่วยไมเกรนที่มีการใช้ยาแก้ปวดบ่อย

1. การเกิดภาวะไวต่อความเจ็บปวด (Central Sensitization)

การใช้ยาแก้ปวดซ้ำๆ สามารถกระตุ้นให้ระบบประสาทส่วนกลางไวต่อสิ่งเร้าความเจ็บปวดมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดจากสิ่งที่ปกติไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวด (allodynia) และทำให้อาการปวดศีรษะถี่และรุนแรงขึ้น

2. การเปลี่ยนแปลงของการทำงานในสมอง (Altered Brain Activity)

การใช้ยาแก้ปวดต่อเนื่องอาจส่งผลต่อความไวของเซลล์ประสาทในสมอง เช่น ก้านสมองและเยื่อหุ้มสมองส่วนประมวลผลความรู้สึก (S1) การวิจัยพบว่าความไวของสมองต่อสิ่งเร้าจะเพิ่มขึ้นในช่วงก่อนปวดศีรษะ (preictal phase) และลดลงในช่วงปวด

3. ความไม่สมดุลของสารสื่อประสาท (Neurotransmitter Dynamics)

การใช้ยาแก้ปวดบ่อยทำให้สมดุลของสารสื่อประสาท เช่น เซโรโทนิน (serotonin) และสาร CGRP ที่เกี่ยวข้องกับไมเกรนแปรปรวน ส่งผลให้สมองไวต่อสิ่งกระตุ้นและกระตุ้นอาการไมเกรนได้ง่ายขึ้น

4. วงจรป้อนกลับของการไวต่อความเจ็บปวด (Feedback Loop of Sensitization)

การใช้ยาแก้ปวดซ้ำๆ นำไปสู่การเพิ่มความไวต่อความเจ็บปวด ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้ยาบ่อยขึ้น ซึ่งสร้างวงจรที่ทำให้อาการปวดศีรษะเรื้อรังและจัดการได้ยาก

5. ปัจจัยทางจิตวิทยา (Psychological Factors)

ความเครียด วิตกกังวล หรือภาวะซึมเศร้าอาจทำให้ผู้ป่วยพึ่งพาการใช้ยาแก้ปวดมากขึ้น ทั้งเพื่อบรรเทาอาการปวดและจัดการปัญหาทางอารมณ์

 

 

 

ดังนั้น การใช้ยาแก้ปวดบ่อยในผู้ป่วยไมเกรนสามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนในสมอง ซึ่งไม่เพียงเพิ่มความรุนแรงและความถี่ของอาการปวด แต่ยังทำให้การรักษาโรคไมเกรนยากขึ้น การวางแผนการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงการลดการใช้ยาแก้ปวดอย่างเหมาะสม จึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันภาวะ MOH และช่วยสร้างคุณภาพชีวิตให้แก่ผู้ป่วยในระยะยาว

กลับไปยังบล็อก

บทความอื่นที่คุณอาจสนใจ

การเปลี่ยนแปลงของสมองเมื่อมีการใช้ยาแก้ปวดบ่อย

การเปลี่ยนแปลงของสมองเมื่อมีการใช้ยาแก้ปวดบ่อย

26 พฤศจิกายน 2024 เข้าชม 106 ครั้ง

50% ผู้ป่วยไมเกรนเรื้อรัง มีการใช้ยาแก้ปวดมากเกินไปจนเกิดภาวะ MOH โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้ยาบรรเทาอาการเป็นประจำ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs หรือยาต้านไมเกรนแบบเฉพาะ (Triptans หรือ Erogotamine)

ปวดหัว จากภูมิแพ้

ปวดหัว จากภูมิแพ้

11 พฤศจิกายน 2024 เข้าชม 160 ครั้ง

ไซนัสอักเสบ (Sinusitis) เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุในโพรงไซนัส ซึ่งมักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย

ทางเลือกใหม่ของการรักษาไมเกรน Rimegepant

ทางเลือกใหม่ของการรักษาไมเกรน Rimegepant

27 กันยายน 2024 เข้าชม 455 ครั้ง

ผู้ใช้ Rimegepant มีแนวโน้มที่จะลดความถี่และความรุนแรงของไมเกรนลงอย่างชัดเจนภายในระยะเวลา 3 เดือน โดยผู้เชี่ยวชาญยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด