ปวดหัวแบบตึงตัว อาการ สาเหตุ และการรักษาที่มีประสิทธิภาพ
อาการปวดหัวแบบตึงตัว แท้จริงแล้วเป็นโรคปวดหัวชนิดหนึ่งที่อยู่ในประเภทอาการปวดหัวแบบปฐมภูมิ (Primary Headache) เป็นโรคที่อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคน ลักษณะอาการหลักคือความเจ็บปวดแบบเรื้อรังรอบศีรษะ, คล้ายกับการมีสายรัดรอบหน้าผาก โดยส่วนใหญ่จะเป็นอาการปวดหัวแบบเป็นๆ หายๆ เกิดขึ้นประมาณ 1-2 ครั้งต่อเดือน แต่บางรายอาจปวดหัวตึงเรื้อรังจนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวันได้
.
สาเหตุของอาการปวดหัวแบบตึงตัว
ในทางการแพทย์แล้วยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของอาการปวดหัวตึง แต่บางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับความตึงของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและต้นคอ หรือท่านั่งที่ไม่เหมาะสม
งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า อาการปวดหัวตึงแบบไม่รุนแรงอาจเกิดจากการทำงานของเส้นประสาทรับความรู้สึกที่ไวเกินไป ซึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณความเจ็บปวดจากร่างกายไปยังสมอง นอกจากนี้ ยังอาจเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของระบบประสาทรับความรู้สึกกลาง หรืออาจมีอาการไวต่อความเจ็บปวดมากกว่าคนทั่วไป ปัจจัยทางพันธุกรรมก็เชื่อว่ามีผลต่ออาการปวดแบบหัวตึงได้เช่นกัน
ถึงแม้สาเหตุการเกิดยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน แต่มีหลายปัจจัยที่เชื่อว่ามีส่วนทำให้เกิดอาการนี้ ได้แก่
- ความเครียด
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ปัญหาเกี่ยวกับฟัน (เช่น การกัดฟัน การนั่งขบฟัน)
- อาการเมื่อยล้าของสายตา
- ตาแห้ง
- อ่อนเพลีย
- การสูบบุหรี่
- โรคหวัดหรือไข้หวัดใหญ่
- โรคไซนัสอักเสบ
- คาเฟอีน
- บุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสม
- ความเครียดทางอารมณ์
- ดื่มน้ำน้อย
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- อดอาหาร
.
อาการปวดหัวแบบตึงตัว
อาการปวดหัวแบบตึงตัว สามารถทำให้เกิดอาการปวดระดับเบา ปานกลาง หรือรุนแรง ก็ได้ และยังมี
- อาการปวดหัวแบบตื้อๆ
- รู้สึกเหมือนมีอะไรกดอยู่รอบหน้าผาก
- รู้สึกเจ็บบริเวณหน้าผากและหนังศีรษะ
- ปวดศีรษะจนโฟกัสได้ยาก
- รู้สึกหงุดหงิด หรืออ่อนเพลีย
- ปวดลามไปที่ด้านหลังดวงตา ศีรษะ และต้นคอ
- ไม่มีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมกับอาการปวดหัว
- โดยทั่วไปอาการปวดมักจะเป็นระดับเบาหรือปานกลาง
สาเหตุและปัจจัยกระตุ้น
สาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดหัวแบบเครียดยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน แต่มีหลายปัจจัยที่เชื่อว่ามีส่วนทำให้เกิดอาการนี้ ได้แก่:
- ความเครียด: เป็นปัจจัยที่เชื่อมโยงกันอย่างกว้างขวาง ความเครียดสามารถทำให้กล้ามเนื้อบริเวณหัวและคอตึงตัว นำไปสู่อาการปวดหัว
- ท่าทางที่ไม่ดี: การนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานานสามารถทำให้กล้ามเนื้อรอบคอและหนังศีรษะเครียด
- ความเมื่อยล้าของตา: การใช้เวลาหน้าจอมากเกินไปหรือทำงานที่ต้องการความละเอียดสามารถกระตุ้นอาการปวดหัว
- การขาดน้ำ: ไม่ดื่มน้ำเพียงพอเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย
- การนอนไม่เพียงพอ: การนอนน้อยเกินไปหรือมากเกินไปสามารถนำไปสู่อาการปวดหัว
การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยในการจัดการและป้องกันอาการปวดหัวแบบเครียด
การรักษาอาการปวดหัวแบบตึงตัว
สำหรับการรักษาอาการปวดหัวแบบตึงตัว นั้นมีทั้งการรักษาทั้งที่ใช้ยา และไม่ใช้ยา
การรักษาอาการปวดหัวแบบตึงตัวด้วยการ "ใช้ยา"
- ยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs เช่น Ibuprofen Naproxen หรือ Aspirin แต่ก็ไม่ควรกินบ่อยๆ มากกว่า 15 วันต่อเดือน เนื่องจากต้องระมัดระวัง ยาแก้ปวดบ่อยเกินไป หรือ Medication Overuse ซึ่งจะทำให้เกิดอาการปวดหัวเด้งกลับ หรือ ปวดหัวสะท้อนกลับ (rebound headache) ซึ่งเป็นอาการปวดหัวที่เกิดขึ้นหลังยาแก้ปวดหมดฤทธิ์
- ยาแก้ปวด และยารักษา ที่ต้องได้รับคำสั่งจากแพทย์ ดังนี้
- ยาต้านซึมเศร้าชนิด tricyclic antidepressants
- ยาลดความดันโลหิตกลุ่ม beta-blockers
- Divalproex sodium
- indomethacin
- ยาคลายกล้ามเนื้อ กรณีที่ยาแก้ปวดไม่อยู่
- ยาต้านอาการซึมเศร้า (SSRI) ที่จะช่วยปรับระดับ serotonin ในสมอง และช่วยรับมือกับความเครียด
.
การรักษาอาการปวดหัวแบบตึงตัวด้วยการ "ไม่ใช้ยา"
- ดื่มน้ำมากขึ้น ควรทานให้ได้วันละ 1.5 - 2 ลิตรต่อวัน
- รับประทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ อาการหิวและนอนไม่หลับเป็นสาเหตุของอาการปวดหัวแบบตึงตัว ลองทานอาหารว่างหรือพักสายตาสักพัก
- การออกกำลังกาย การออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ นอกจากจะช่วยให้ลดภาวะความเครียด แล้วยังจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและลดอาการปวดหัวได้ด้วย
- Biofeedback เทคนิคการผ่อนคลายที่ช่วยให้คุณจัดการกับอาการปวดและความเครียด
- CBT (Cognitive-behavioral therapy) บำบัดด้วยการพูดคุย ช่วยให้คุณระบุสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล และความตึงเครียด
- การฝังเข็ม การแพทย์ทางเลือกที่อาจช่วยลดความเครียดและความตึงเครียด
- อาบน้ำอุ่น เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัว และร่างกายที่ตึงเครียดได้
ซึ่งเทคนิคเหล่านี้อาจไม่สามารถป้องกันอาการปวดหัวแบบตึงตัวได้ตลอดไป อาการของโรคนี้อาจกลับมาเป็นอีกได้ในอนาคต แต่หากคุณเริ่มเป็นรุนแรงขึ้นแล้ว แนะนำควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางระบบประสาทและสมองเพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมก่อนจะเป็นเรื้อรัง
-นพ.สุภาษ ธรรมพิทักษ์